วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

แบบทดสอบ

1. เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยคือข้อใด
     ก.  ซออู้
     ข.  ซอด้วง
     ค.  ซอพุงตอ
     ง.   สะล้อ
2. ระนาดเกิดขึ้นในสมัยใด
     ก.  กรุงสุโขทัย
     ข.  กรุงศรีอยุธยา
     ค.  กรุงรัตนโกสินทร์
     ง.   สมัยปัจจุบัน
3. ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพลงที่แพร่หลายมากนิยมเล่นเพลงประเภทใด
      ก.  เพลงชั้นเดียว
      ข.  เพลงสองชั้น
      ค.  เพลงสามชั้น
      ง.  เพลงโหมโรง
4. ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดใหม่ขึ้นมา เครื่องดนตรีชนิดนี้ คือเครื่องดนตรีชนิดใด
     ก.  ซออู้
     ข.  กระจับปี่
     ค.  ระนาดทุ้ม
     ง.  ซอสามสาย
5. ท่วงทำนองที่มีลีลาลักษณะการบรรเลงไปแบบเร็วปานกลางเรียกว่าอะไร
     ก. เพลงสามชั้น
     ข. เพลงชั้นเดียว
     ค. เพลงสองชั้น
     ง.  เพลงเถา
6. ยุคทองของดนตรีไทยเกิดขึ้นในสมัยใด
     ก. รัชกาลที่ 1
     ข. รัชกาลที่ 2
     ค. รัชกาลที่ 3
     ง.  รัชกาลที่ 4
7. วงดนตรีไทยที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3  คือ วงดนตรีใด
     ก.  วงปี่พาทย์เครื่องคู่
     ข.  วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
     ค.  วงปี่พาทย์เครื่องห้า
     ง.   วงปี่พาทย์มอญ
8. วงดนตรีไทยที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 คือวงดนตรีใด
     ก.  วงปี่พาทย์เครื่องคู่
     ข.  วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
     ค.  วงปี่พาทย์เครื่องห้า
     ง.   วงปี่พาทย์มอญ
9. วงปี่พาทย์ใดที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
     ก.  วงปี่พาทย์เครื่องคู่
     ข.  วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
     ค.  วงปี่พาทย์เครื่องห้า
     ง.   วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
10. วงอังกะลุงมีขึ้นในสมัยรัชกาลใด
     ก.  รัชกาลที่ 1
     ข.  รัชกาลที่ 3
     ค.  รัชกาลที่ 6
     ง.   รัชกาลที่ 7
11.การแบ่งยุคสมัยทางดนตรีไทยนิยมแบ่งออกเป็นกี่สมัย
     ก. 2 สมัย
     ข. 3 สมัย
     ค. 4 สมัย
     ง. 5 สมัย
12. เครื่องดนตรีไทยชนิดใดปรากฏอยู่ในสมัยอยุธยาทั้งหมด
      ก. สังข์ บัณเฑาะว์ ซอสามสาย
      ข. ระนาดทุ้ม อังกะลุง ฆ้องวงเล็ก
     ค. กลองแขก จะเข้ แตรวิลันดา
     ง. กลองสองหน้า มโหระทึก กระจับปี่
13. เพลงใดที่ปรากฏในสมัยรัตนโกสินทร์
     ก. เพลงเถา
     ข. เพลงนางนาค
     ค. เพลงสมิงทอง
     ง. เพลงยิกินแปดบท
14.ปี่พาทย์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยใด
     ก.รัชกาลที่ ๓
     ข.รัชกาลที่ ๔
     ค.รัชกาลที่ ๕
     ง.รัชกาลที่ ๖
15.ศัพท์เฉพาะที่ในวงการดนตรีไทย เรียกว่าอะไร
      ก.ศัพท์ดนตรี
      ข.ศัพท์สังคีต
      ค.สังคีตกวีไทย
     ง.ศัพท์เพลงไทย
16.ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการประสมวงดนตรีประเภทใดขึ้นเป็นครั้งแรก
     ก. วงเครื่องสายไทย
     ข. วงมโหรีเครื่องเดี่ยว
     ค. วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
     ง. วงเครื่องสายเครื่องคู่ 
17.ทางในหรือทางชวา เป็นชื่อระดับเสียงดนตรีไทยที่ใช้บรรเลงในวงใด
     ก. วงปี่พาทย์
     ข. วงปี่พาทย์เสภา
     ค. วงเครื่องสายปี่ชวา
     ง. วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
18.เพลงพิธีการที่นำมาบรรเลงในพิธีสำคัญคือเพลงใด
     ก.เพลงโหมโรง
     ข.เพลงเต่าเห่ 
     ค.เพลงสาธุการ
     ง.เพลงแขกสาหร่าย
19. ตามประวัติศาสตร์เครื่องดนตรีไทยที่มีอยู่ดั้งเดิมควบคู่กับวิถีชีวิตของคนไทยได้แก่ข้อใด
     ก. ปี่ไฉน , บัณเฑาะว์ 
     ข. ขลุ่ย , ซอ                 
     ค. พิณ  อังกะลุง   
     ง. จะเข้ , สังข์
20. การผสมวงมโหรี ในสมัยปัจจุบันต้องมีเครื่องดนตรีชนิดใดจึงจะถูกต้องตามแบบแผน
     1. จะเข้                  
     2. ซอสามสาย                 
     3. กระจับปี่           
     4. ขลุ่ยเพียงออ
21. วงดนตรีสำหรับบรรเลงทำนองประกอบการเล่นหนังตะลุง และมโนรา หากขาดเครื่องดนตรีชนิดใด จะทำให้ขาดอรรถรสในการชมการฟังและการร่ายรำ
     ก. ซอด้วง                      
     ข. ระนาดเอก                  
      ค.ขลุ่ย               
     ง.ปี่
 22. การผสมวงดนตรีในข้อใดที่เกิดก่อนและหลัง เรียงลำดับตามยุคสมัย
ประวัติศาสตร์ไทย
     1. วงปี่พาทย์เครื่องห้า วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงเครื่องสาย
     2. วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงเครื่องสายผสมขิม วงมโหรี
     3. วงขับไม้ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงปี่พาทย์เครื่องห้า
     4. วงขับไม้ วงปี่พาทย์เครื่องห้า วงเครื่องสายผสมออร์แกน
23. เอกลักษณ์ของเพลงประเภทหนึ่งที่เป็นของบ้านแหลมโพธ์ ต.คูเต่า อำเภอหาดใหญ่ คือข้อใด
     ก. เพลงกล่อมเด็ก               
     ข. เพลงเรือ              
     ค.เพลงพวงมาลัย  
     ง. เพลงบอก
24. วงดนตรีที่นิยมบรรเลงในงานสวดพระอภิธรรมศพ คือวงดนตรีประเภทใด
     1. ปี่พาทย์นางหงส์ หรือ ปี่พาทย์มอญ    
     2. ปี่พาทย์มอญ หรือ ปี่พาทย์เสภาเครื่องใหญ่       
     3. ปี่พาทย์นางหงส์ หรือ ปี่พาทย์ชาตรี   
     4. ปี่พาทย์มอญ หรือ ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์              
25. จากข่าวในพระราชสำนักเมื่อพราหมณ์บรรเลงดนตรีประกอบพระราชพิธีจะใช้เครื่องดนตรีใด
     ก. ระนาด ,ซออู้              
     ข. ปี่ชวา , จะเข้                 
     ค. แตร , สังข์                
     ง. บัณเฑาว์ ,  ซอด้วง

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

        ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความสงบร่มเย็น โดยทั่วไปแล้วศิลป วัฒนธรรมของชาติก็ได้รับการฟื้นฟูทะนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะทางด้านดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลำดับดังต่อไปนี้ คือ
        สมัยรัชกาลที่ 1 ดนตรีไทย ในสมัยนี้ส่วนใหญ่ ยังคงมีลักษณะ และ รูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูก ใน วงปี่พาทย์ ซึ่ง แต่เดิมมา มีแค่ 1 ลูก พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 1 วงปี่พาทย์มีกลองทัด 2 ลูก เสียงสูง (ตัวผู้) ลูกหนึ่งและเสียงต่ำ (ตัวเมีย) ลูกหนึ่ง  และการใช้กลองทัด 2 ลูกในวงปี่พาทย์ก็เป็นที่นิยมกันมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
        สมัยรัชกาลที่ 2 อาจกล่าวว่าในสมัยนี้ เป็นยุคทองของ ดนตรีไทย ยุคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง ดนตรีไทย ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด" ทั้งพระองค์ได้ พระราชนิพนต์ เพลงไทย ขึ้นเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่ไพเราะ และอมตะ มาจนบัดนี้นั่นก็คือเพลง "บุหลันลอยเลื่อน" การพัฒนา เปลี่ยนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ก็คือ ได้มีการนำเอา วงปี่พาทย์มาบรรเลง ประกอบการขับเสภา เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังมีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยดัดแปลงจาก "เปิงมาง" ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ว่า "สองหน้า" ใช้ตีกำกับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ ประกอบการขับเสภา เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลองสองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกำกับจังหวะหน้าทับ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
        สมัยรัชกาลที่ 3 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่
        สมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรี เพิ่มขึ้นอีก 2 ชนิด เลียนแบบ ระนาดเอก และระนาดทุ้ม โดยใช้โลหะทำลูกระนาด และทำรางระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม (ไม้) เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก นำมาบรรเลงเพิ่มในวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ทำให้ ขนาดของ วงปี่พาทย์ขยายใหญ่ขึ้นจึงเรียกว่า วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ อนึ่งในสมัยนี้ วงการดนตรีไทย นิยมการร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ หรือที่เรียกว่า "การร้องส่ง" กันมากจนกระทั่ง การขับเสภาซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็เป็นแนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ชั้นของเดิมให้เป็นเพลง 3 ชั้น และตัดลง เป็นชั้นเดียว จนกระทั่งกลายเป็นเพลงเถาในที่สุด (นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้) นอกจากนี้ วงเครื่องสาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
        สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า "วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สำหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง "ละครดึกดำบรรพ์" ซึ่งเป็น ละครที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน หลักการปรับปรุงของท่านก็โดยการตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลม หรือดังเกินไปออก คงไว้แต่เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล กับเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่ เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ จึงประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ย ซออู้ ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกำกับจังหวะ
        สมัยรัชกาลที่ 6 ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง โดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนี้ว่า "วงปี่พาทย์มอญ" โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่พาทย์มอญดังกล่าวนี้ ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่ เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในงานศพ มาจนกระทั่งบัดนี้ นอกจากนี้ยังได้มีการนำเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้ามาบรรเลงผสมกับ วงดนตรีไทย บางชนิดก็นำมาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทย ทำให้รูปแบบของ วงดนตรีไทย เปลี่ยนแปลงพัฒนา ดังนี้ คือ การนำเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ "อังกะลุง" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทั้งนี้โดยนำมาดัดแปลง ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง) ปรับปรุงวิธีการเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทำให้เครื่องดนตรีชนิดนี้ กลายเป็นเครื่องดนตรีไทยอีกอย่างหนึ่ง เพราะคนไทยสามารถทำอังกะลุงได้เอง อีกทั้งวิธีการบรรเลงก็เป็นแบบเฉพาะของเราแตกต่างไปจากของชวาโดยสิ้นเชิง การนำเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสาย ได้แก่ ขิมของจีน และออร์แกนของฝรั่ง ทำให้วงเครื่องสายพัฒนารูปแบบของวงไปอีกลักษณะหนึ่ง คือ "วงเครื่องสาย ผสม"

        สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมรลอยองค์ (เถา) และเพลงราตรีประดับดาว (เถา) พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวัง แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระองค์ไม่นาน เนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ หลังจากนั้นได้ 2 ปี มิฉะนั้นแล้ว ดนตรีไทย ก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยแห่งพระองค์ อย่างไรก็ตามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้ นับว่าได้พัฒนารูปแบบ และลักษณะ มาจนกระทั่ง สมบูรณ์ เป็นแบบแผนดังเช่นในปัจจุบันนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชมีผู้นิยมดนตรีไทยกันมาก และมีผู้มีฝีมือ ทางดนตรี ตลอดจน มีความคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้พัฒนาก้าวหน้ามาตามลำดับ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ ได้ให้ความอุปถัมภ์ และทำนุบำรุงดนตรีไทย ในวังต่าง ๆ มักจะมีวงดนตรีประจำวัง เช่น วงวังบูรพา วงวังบางขุนพรหม วงวังบางคอแหลม และวงวังปลายเนิน เป็นต้น แต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือเข้ามาประจำวง มีการฝึกซ้อมกันอยู่เนืองนิจ บางครั้งก็มีการประกวดประชันกัน จึงทำให้ดนตรีไทยเจริญเฟื่องฟูมาก ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง อาจกล่าวได้ว่า เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ดนตรีไทยเกือบจะถึงจุดจบ เนื่องจากรัฐบาลในสมัยหนึ่งมีนโยบายทีเรียกว่า "รัฐนิยม" ซึ่งนโยบายนี้ มีผลกระทบต่อ ดนตรีไทย ด้วย กล่าวคือมีการห้ามบรรเลง ดนตรีไทย เพราะเห็นว่า ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ใครจะจัดให้มีการบรรเลง ดนตรีไทย ต้องขออนุญาต จากทางราชการก่อน อีกทั้ง นักดนตรีไท ยก็จะต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้ จนกระทั่งต่อมาอีกหลายปี เมื่อได้มี การสั่งยกเลิก "รัฐนิยม" ดังกล่าวเสียแต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดนตรีไทยก็ไม่รุ่งเรืองเท่าแต่ก่อน ยังล้มลุกคลุกคลาน มาจนกระทั่งบัดนี้ เนื่องจากวิถีชีวิต และสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมวัฒนธรรมทางดนตรีของต่างชาติได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยเป็นอันมาก ดนตรีที่เราได้ยินได้ฟัง และได้เห็นกันทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือที่บรรเลงตามงานต่างๆ โดยมากก็เป็นดนตรีของต่างชาติ หาใช่ "เสียงพาทย์ เสียงพิณ" ดังแต่ก่อนไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่น่ายินดีที่เราได้มีโอกาสฟังดนตรีนานาชาตินานาชนิด แต่ถ้าดนตรีไทยถูกทอดทิ้ง และไม่มีใครรู้จักคุณค่าก็นับว่าเสียดายที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ดีงาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติอย่างหนึ่งไป ดังนั้นจึงควรที่คนไทยทุกคนจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของดนตรีไทย และช่วยกันทะนุบำรุงส่งเสริมและรักษาไว้ เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป









สมัยกรุงธนบุรี

        เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี และประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฎหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่ายังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง





สมัยกรุงศรีอยุธยา

        ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้นจากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย  จึงน่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฏข้อห้ามตอนหนึ่งว่า "...ห้ามร้องเพลงเรือเป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน..." ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็นที่นิยมกันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ
   1. วงปี่พาทย์ ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่มี ระนาดเอก เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า  ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี  ดังต่อไปนี้ คือ
          1.ระนาดเอก
          2.ปี่ใน
          3.ฆ้องวง (ใหญ่)
          4.กลองทัด ตะโพน
          5.ฉิ่ง
   2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะได้เพิ่ม เครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ยและรำมะนา  ทำให้วงมโหรี ในสมัยนี้ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จำนวน 6 ชิ้น คือ
          1.ซอสามสาย
          2.กระจับปี่ (แทนพิณ)
          3.ทับ (โทน)
          4.รำมะนา
          5.ขลุ่ย
          6.กรับพวง






สมัยสุโขทัย

        ดนตรีไทย มีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี่ไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงดนตรี ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง "เสียงพาทย์ เสียงพิณ" ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้ สันนิษฐานว่า วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ คือ
   1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1 คน ทำหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย เป็นลักษณะของการขับลำนำ
   2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ คนขับลำนำ 1 คน  คนสีซอสามสาย  คลอเสียงร้อง 1 คน  และ คนไกว บัณเฑาะว์ให้จังหวะ 1 คน
   3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง 5 มี 2 ชนิด คือ
     วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา  ประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็ก ๆ  จำนวน 5  ชิ้น คือ
          1. ปี่
          2. กลองชาตรี
          3. ทับ (โทน)
          4. ฆ้องคู่
          5. ฉิ่ง
ใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
     วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก  ประกอบด้วย เครื่องดนตรีจำนวน 5  ชิ้น  คือ
          1. ปี่ใน
          2. ฆ้องวง (ใหญ่)
          3. ตะโพน
          4. กลองทัด
          5. ฉิ่ง
ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพต่าง ๆ จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก
   4. วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่นำเอา วงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้ มาผสมกัน เป็นลักษณะของ วงมโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง 4 คน คือ
          1. คนขับลำนำและตี กรับพวง ให้จังหวะ
          2. คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง
          3. คนดีดพิณ
          4. คนตีทับ (โทน) ควบคุมจังหวะ





ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ

        นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็นการเริ่มต้น ยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ปรากฎหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ เมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และหลังจากที่ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือวรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค ซึ่งสามารถนำมาเป็นหลักฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฎ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้